สุคิริน ดินแดนอันสวยงามและอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ รายล้อมด้วยเทือกเขาเขียวขจีที่ปกคลุมด้วยป่าไม้ พันธุ์ไม้อันหนาแน่นของผืนป่าบาลา-ฮาลา ทำให้มีสภาพอากาศที่บริสุทธิ์ เย็นสบายตลอดทั้งปี ยามเช้ามีสายหมอกคลอเคลียขุนเขาและปกคลุมเมือง เดินทางง่ายมากมีเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ก็เที่ยวได้ ได้อ่านคำนิยามแล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะตัดสินใจมาเที่ยวได้ไม่ยากนัก เรียกว่าอยากรีบเก็บกระเป๋าเลยทีเดียวแหละ แต่เมื่อบอกว่า สุคิริน เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส รับรองว่าต้องมีเบรคเอี๊ยด “สวยน่ะ แต่ไม่กล้าไป” เป็นประโยคที่มักได้ยินอยู่ตลอด แต่พอเข้าใจได้ด้วยข่าวความไม่สงบของสามจังหวัดชายแดนใต้ ทำให้หลายคนกลัวและเหมารวมกันไปหมด ยิ่งนราธิวาสไกลสุดแดนใต้ยิ่งดูน่ากลัวกว่าจังหวัดอื่น แต่บางครั้งหากยังยึดติดกับความคิดแบบเดิม อาจทำให้พลาดเรื่องราวดีๆและความเข้าใจใหม่ที่เป็นความจริงและสิ่งที่ควรจะได้เห็น จึงลองเปิดใจเดินทางไปเที่ยวนราธิวาส อยากสัมผัสด้วยตัวเองแล้วกลับมาเล่าให้ฟังในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่งว่าน่ากลัวจริงมั้ย เรามุ่งหน้าไป สุคิริน สถานที่ท่องเที่ยวในนราธิวาสที่อยากไปที่สุด ทิ้งความกลัวไว้ที่บ้าน รีบแพคกระเป๋าไปเที่ยวแบบไม่รอช้า
เริ่มต้นการเดินทางด้วยเครื่องบินมาลงที่สนามบินนราธิวาส โดยมีวันละ 2 รอบ คือ สายการบินแอร์เอเชียมาถึงเวลาเที่ยง และไทยสไมล์ มาถึงเวลาสี่โมงครึ่ง เราเลือกเดินทางโดยแอร์เอเชียเพราะถึงเร็วกว่า จังหวัดนราธิวาสไม่มีรถเช่าหรือรถเหมาใดๆทั้งสิ้น มีแต่รถโดยสารจากสนามบินและในตัวเมืองไปยังอำเภอต่างๆ เช่น อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และนั่งรถต่อไปสุคิรินได้จากสุไหงโกลก เราใช้รถส่วนตัวของคนรู้จักในพื้นที่ใกล้เคียงให้มารับที่สนามบินเพื่อมุ่งหน้าไปยังสุคิริน โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง แต่หากไม่มีคนรู้จักไม่อยากเช่ารถจากพื้นที่อื่นขับเอง หรือนั่งรถโดยสารให้เสียเวลา การมาสุคิรินก็ไม่ได้ยากอะไร เพราะสามารถใช้บริการรถของรีสอร์ทที่สุคิรินมารับที่สนามบิน ในตัวเมือง หรือจุดนัดพบระหว่างทางได้ คิดราคาไม่แพง
นั่งรถจากสนามบิน ผ่านอำเภอเมืองนรา อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก บรรยากาศระหว่างทางจะมีความเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนของผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวไทยมุสลิม แต่เมื่อเข้าเขตอำเภอสุคิรินบรรยากาศเปลี่ยนทันที ความเขียวขจีเริ่มปรากฎให้เห็น ต้นไม้ระหว่างทางอุดมสมบูรณ์และหนาแน่นมาก สมแล้วที่เป็นชุมชนใจกลางผืนป่าบาลา-ฮาลา สุคิริน ตั้งอยู่ทางตอนล่างใต้สุดของจังหวัดนราธิวาสห่างจากตัวเมืองประมาณ 120 กิโลเมตร มีพื้นที่เป็นป่าและภูเขาโอบล้อมรอบ โดยเกือบทั้งหมดอยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองสุคิริน ชื่อ “สุคิริน” เป็นนามพระตำหนักที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า โปรดเกล้าพระราชทานเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมนิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดนราธิวาส การรับเสด็จในครั้งนั้นข้าราชการและเจ้าหน้าที่นิคมฯ ได้กราบบังคมทูลเชิญพระองค์ท่านเสด็จประทับ ณ เรือนรับรองของนิคมฯ ซึ่งเป็นอาคารเล็กๆ จึงไม่สะดวกที่จะให้สมาชิกนิคมฯ เข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานการช่วยเหลือ จึงมีการสร้างพระตำหนักเพื่อใช้เป็นที่ประทับระหว่างทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในพื้นที่ “สุคิริน” มีความหมายเป็นสิริมงคลว่า “พันธุ์ไม้อันเขียวชอุ่ม” ซึ่งมีความสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขา ป่าไม้ และพืชพรรณไม้นานาชนิด ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยพุทธ ซึ่งจะต่างกับอำเภออื่นในนราธิวาส ที่จะเป็นชาวไทยมุสลิม เมื่อเริ่มเข้าสู่ตัวอำเภอจะเริ่มเห็นบ้านเรือนผู้คน สถานที่ราชการ โรงพยาบาล สถานีอนามัย ถึงแม้จะเป็นอำเภอที่เรียกได้ว่าสุดชายแดนของนราธิวาส แต่ไม่ได้ห่างไกลความเจริญ ยังมีร้านค้า ร้านอาหารเล็กๆตลอดทาง มีเซเว่น มาเปิดด้วย
เรามาถึงที่พักประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง สายธารทอง ที่พักแบบรีสอร์ทเพียงหนึ่งเดียวในสุคิริน ให้บริการทั้งห้องพักและบริการรถนำเที่ยวตามจุดต่างๆ บรรยากาศกว้างขวางร่มรื่น และข้างหลังที่พักติดกับลำธารต้นกำเนิดของแม่น้ำสายบุรี ห้องพักมีหลายแบบทั้งแบบเป็นหลัง แบบห้องแถวติดกัน แบบบ้านเป็นตึก และบ้านหลังใหญ่สำหรับหมู่คณะ มีความสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งแอร์ ทีวี ตู้เย็น มี wifi ด้วยในราคาแค่หลักร้อย เราเลือกพักบ้านพักแบบตึก ซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของรีสอร์ท ราคาคืนละ 600 บาท มีระเบียงเปิดออกไปสำหรับชมวิว
บ้านพักแบบเป็นหลังและเรือนแถว ราคาเท่ากัน หลังละ 500 บาท
บ้านหลังใหญ่ พักได้ประมาณ 8-10 คน จะเป็นแบบปูฟูกนอน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งเล่นและทำอาหาร ราคาหลังละ 800 บาท
ตามที่บอกว่า สายธารทองรีสอร์ท เป็นที่พักเจ้าเดียวที่ให้บริการนำเที่ยวสุคิรินแบบครบวงจร มีรถให้บริการรับส่งถึงสนามบิน และตามจุดต่างๆ หลายคัน ในราคามิตรภาพ เพราะฉะนั้นจึงเบาใจได้ในเรื่องของการเดินทาง และปลอดภัยแน่นอน เพราะมีคนในพื้นที่นำเที่ยว เราใช้บริการรถนำเที่ยวจากที่พักโดยเริ่มจากสุคิริน นำเที่ยวตามจุดต่างๆตามโปรแกรม ซึ่งปกติจะติดราคาวันละ 1000 บาท แต่เราเริ่มโปรแกรมวันแรกเกือบบ่ายแล้ว อีกวันก็ไปชมหมอกตอนเช้า และพระตำหนัก เจ้าของที่พักใจดีคิดราคาแค่เพียงวันเดียว
พักผ่อนกันสักครู่ จึงเริ่มต้นโปรแกรมท่องเที่ยวในสุคิริน จุดแรกที่แวะคือ ชมต้นกระพงยักษ์ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากที่พักประมาณ 22 กม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ระหว่างทางที่นั่งรถมีแต่ความเขียวขจีหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ เคยได้ยินถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าบาลา-ฮาลา ในจังหวัดนราธิวาสมานาน ไม่คิดว่าจะมีโอกาสสัมผัสภาพนั้นด้วยตัวเอง มีความสดชื่นร่มรื่น อากาศบริสุทธิ์มาก
จากปากทางเดินเท้าแค่เพียงแค่ 400 เมตร ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ผ่านลำธารและผืนป่าที่ปกคลุมไปด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์มีพันธุ์ไม้นานาชนิดขึ้นเขียวขจี ก็จะได้พบกับต้น กระพงษ์ยักษ์
ต้นสมพง หรือ กระพงษ์ยักษ์ มีขนาดเส้นรอบวงของลำต้น ประมาณ 25 เมตร สูง 30 เมตร หรือ ถ้าใช้คนจับมือแล้วยืนล้อมลำต้นโดยรอบ ต้องใช้คนประมาณ 27 คนโอบ
นอกจากจะตื่นตา ตื่นใจไปกับต้นกระพงษ์ยักษ์แล้ว ยังมีความอะเมซิ่งจากพันธุ์ไม้แปลกๆใกล้เคียง ที่สามารถถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนาน ทั้งเถาวัลย์ยักษ์ และม่านไม้ที่ห้อยลงมาอย่างสวยงาม
จากต้นกระพงษ์ยักษ์ เดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร จะได้พบกับน้ำตกขนาดเล็ก ที่มีความใสสะอาด นั่งผักผ่อน ฟังเสียงนกเสียงไม้ สัมผัสบรรยากาศเย็นสบายจากผืนป่ากันสักครู่
ประมาณห้าโมงเย็น รถนำเที่ยวพาเราไปยังจุดต่อไปที่ วัดพระธาตุภูเขาทอง สถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพี่น้องชาวไทยพุทธ อีกแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอสุคิริน เป็นวัดที่สร้างอยู่ท่ามกลางธรรมชาติและภูเขาที่อุมดมสมบูรณ์ ในยามเช้านักท่องเที่ยวจะได้เห็นทะเลหมอก ณ จุดชมวิว รับลมเย็นที่ผ่านเข้ามาสัมผัสกับลำตัว และในยามเย็นที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่งดงามมาก
วัดพระธาตุภูเขาทอง สุคิริน
บริเวณวัดพระธาตุภูเขาทอง กว้างขวาง วิวสวยมากเพราะห้อมล้อมด้วยภูเขา มีการจัดทำระเบียงชมวิว สำหรับชมสายหมอกในยามเช้า
ในพื้นที่ของวัด ยังมีบ้านพัก หลังใหญ่ประมาณ 3 หลัง ซึ่งใช้เป็นที่พักสำหรับผู้ที่มาปฎิบัติธรรม และเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปได้เข้ามาพักด้วย แต่การเดินทางมาพักที่นี่หากไม่มีรถส่วนตัวจะยากสักหน่อย เพราะไม่มีบริการรถรับส่ง ต้องนั่งรถโดยสารมาถึงสุคิริน และให้รถโดยสารเข้ามาส่งซึ่งต้องต่อรองในเรื่องของราคาเพิ่มว่าจะคิดเท่าไหร่และจะมาส่งมั้ย เพราะจากตัวอำเภอสุคิรินมาที่นี่จะค่อนข้างไกล ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วโมง หรือถ้าให้สะดวกสามารถใช้บริการรถของสายธารทอง รีสอร์ทให้มาส่งพร้อมนำเที่ยวได้
สุคิริน
บ้านพักจำนวน 3 หลัง เป็นแบบฟูกปูนอน และห้องพัดลมทั้งหมด หลังนี้คือ บ้านหลังใหญ่มองเห็นวิวแบบชัดเจน เรียกได้ว่า ตื่นมาปุ๊บก็นั่งมองวิวจากที่พักได้เลย หลังนี้ 2 ห้อง คิด ราคาห้องละ 1000 บาท พักได้ 15 คน
หลังนี้ราคาหลังละ 1500 บาท พักได้ 6 คน หากต้องการเครื่องครัวเพิ่มคิดราคา 1800 บาท
หลังนี้ราคา 1000 บาท พักได้ 6 คน สำหรับใครที่ต้องการพักที่บ้านพักวัดพระธาตุ ภูเขาทอง ติดต่อได้ที่โทร 081 766 4954
จากวัดพระธาตุภูเขาทอง มาถึงจุดท่องเที่ยวสุดท้ายของวันนี้ ที่ จุดสกัดภูเขาทอง เพื่อไปชมอุโมงค์ลำเลียงแร่ทองคำในสมัยก่อน ปัจจุบันหลงเหลือเพียงอุโมงค์ให้เห็น ไม่มีการขุดแร่ทองคำแล้ว ซึ่งพื้นที่ของสุคิรินในอดีตเคยมีชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาขอสัมปทานทำเหมืองแร่ทองคำ เมื่อเกิดสงครามอินโดจีนขึ้นฝรั่งเศสได้หนีภัยสงคราม จึงทิ้งเหมืองแร่ทองคำ ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงมาเป็นผู้ดำเนินการเหมืองแร่ทองคำดังกล่าวแทน ประมาณปีเศษเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในบริเวณเหมืองแร่ทองคำ และต่อมาได้ล้มเลิกกิจการไป ยังคงเหลือไว้แค่เพียงร่องรอยในอดีตที่ให้ชนรุ่นหลังได้เข้าไปชมและเรียนรู้ มองลงไปบริเวณสายน้ำยังเห็นเกล็ดของทองส่องระยิบระยับ
ก่อนกลับหว่างทางแวะชมต้นไผ่ ที่ในหลวง ร 9 และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพ ทรงปลูกไว้เมื่อครั้งเสด็จมาเยี่ยมราษฎรที่สุคุริน ไม่มีพื้นที่ใดในประเทศไทยที่พระองค์เสด็จมาไม่ถึง ก้มลงกราบด้วยความระลึกถึงพระองค์ท่าน
เที่ยวจนเย็นย่ำได้เวลากลับที่พัก ขอนั่งท้ายรถกระบะเพราะอยากชมวิวและสัมผัสความสวยงามของพื้นที่และสูดอากาศบริสุทธิ์ได้แบบเต็มที่
มื้อค่ำที่สุคิริน มุ่งหน้าไปยังร้าน แซ่บผ่านหมอก ตามคำแนะนำของเจ้าของที่พัก แว่บแรกที่เห็น คือ ไม่คิดว่าสุคิรินจะมีร้านอาหารที่ขายอาหารเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ บรรยากาศดี มีเมนูหลากหลาย ทั้งอาหารไทย อาหารพื้นถิ่น อาหารอีสาน อาหารทะเล ในราคาไม่แพง เราสั่งอาหารมาประมาณ 5 อย่าง ทั้งยำปลาช่อนซึ่งทำคล้ายปลาช่อนลุยสวน ปลาทับทิมทอดทานกับยำน้ำบูดูและผักเครื่องเคียง ส้มตำปลาร้าปูม้าตัวโตมาก ไข่เจียวคอนโดมาเป็นชั้น และต้มยำไก่บ้าน เมนูอาหารรสชาติอร่อยวัตถุดิบดี อาหารจานใหญ่ปริมาณเยอะทานกันจนอิ่มท้องมาก
เช้าวันใหม่ตีห้า คือ เวลานัดหมายเพื่อไปชมทะเลหมอก จุดชมทะเลหมอกที่สุคิรินมีอยู่ 2 จุด คือ ผานับดาว และที่วัดพระธาตุภูเขาทอง แต่ที่ผานับดาวเป็นจุดชมทะเลหมอกที่เรียกว่า มีความเป็นทะเลหมอกที่แท้ทรู ส่วนที่วัดพระธาตุภูเขาทอง จะเป็นลักษณะสายหมอกบางคลอเคลียตามหุบเข เช้านี่เราเลือกไปชมทะเลหมอกที่ผานับดาว ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักโดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที เมื่อมาถึงจุดจอดรถจะต้องเดินเท้าไปอีกประมาณ 800 เมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เส้นทางเดินเป็นลักษณะดินแดงผสมกับหิน เป็นเส้นทางไม่โหดมาก เดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ ผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาว หรือวัยสว เดินได้ เหมือนกำลังเดินขึ้นภูชี้ฟ้า แต่ก่อนถึงจุดชมวิวสุงสุด มีความชันเล็กน้อยต้องจับเชือกเดินขึ้นไป แต่ก็ไม่ยากจนเหนือบ่ากว่าแรง คำแนะนำ รองเท้าที่ใส่มา ควรเป็นรองเท้าผ้าใบที่ไม่ลื่นมาก
เดินขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดชมวิวสูงสุดของ ผานับดาว มองเห็นวิวทะเลหมอกที่อยู่ตรงหน้า ต้องร้องว้าวแบบไม่เชื่อสายตา นี่เหรอภาพของ นราธิวาส ที่หลายคนกลัวไม่กล้ามาเที่ยว แม้แต่ในช่วงฤดูร้อน ทะเลหมอกยังแน่นขนาดนี้ ไม่จำเป็นว่าต้องมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ฤดูร้อนก็สวย เพราะเป็นทะเลหมอกที่เกิดจากความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ เพียงแต่ฤดูฝนไม่แนะนำเพราะเส้นทางรถขึ้นออฟโรดมาก จะไม่สามารถขึ้นมาได้ ยืนชมทะเลหมอกยามเช้า รอพระอาทิตย์ขึ้น ตอนนี้แสงสีทองค่อยๆปรากฎมาทักทายเราทีละน้อย
บนยอดผานับดาว สามารถกางเต้นท์ได้ แต่ต้องเตรียมอุปกรณ์มาเองทั้งหมด ไม่มีห้องน้ำ ตอนขึ้นไปเจอคนในพื้นที่ขึ้นมานอนกางเต้นท์ด้วย น้องบอกว่าวันนี้ทะเลหมอก ยังไม่เยอะมาก ปกติจะลอยขึ้นมาปกคลุมยอดเขาจนเกือบจะถึงจุดชมวิวเลยทีเดียว แต่สำหรับเรา โดยส่วนตัวชอบทะเลหมอกแบบที่มองเห็นทิวเขาด้วยมากกว่า มันมีความเป็นเลเยอร์ชัดเจนดี