พาเที่ยว อ่าวครามกับเกาะกุเลา (Sawi)

พาเที่ยว อ่าวครามกับเกาะกุเลา (Sawi)

ภารกิจเช้านี้ .. ตื่นมาตีห้าให้ตายเหอะวันทำงานนี่ไม่ตื่นนะคะ ตื่นเช้าได้ก็ตอนไปเที่ยวเนี่ยแหละ บอสรู้คงดีใจ (มาก) มารับผองเพื่อนแต่เช้าดีใจสุดๆ มีเพื่อนแล้วเว้ยตรูไม่โดดเดียวแล้ว สิ่งแรกที่พวกเราทำหลังจากเจอกันนั่นคือ “กิน”
ตามรีวิวเค้าบอกว่าลงรถไฟมาตอนเช้าให้หาอะไรกินฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ มองไปร้านมีไม่เยอะมาก แต่ฟาดกันทุกร้านตามสไตล์สายแดก (แดกเรียบ) ด้วยนะพวกเราอ่ะ เพื่อนๆ กลุ่มนี้เราเจอจากห้อง Blueplanet คบกันมานานมาก ใครจะคิดว่าเพื่อนที่เราเจอกันบนโลกออนไลน์จะรักกันขนาดนี้ ชนิดที่ว่าไปไหนไปโลด ขอให้แค่ชวนจริงๆ
จากสถานีรถไฟสวีใช้เวลาเดินทางมายังอ่าวครามโฮมสเตย์ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว ดังนั้นพวกเราเลยกินกันแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ ก่อนเดินทางก็แวะเซเว่่นซื้อข้าวของที่จะเตรียมไปกินกันที่โฮมสเตย์ แนะนำให้ตุนนะเพราะเข้าไปแล้วไม่มีอะไรเลย
จากสวีขับมาตามพิกัด GPS เข้ามาเรื่อยๆ ลึกมาเรื่อยๆ จนต้องร้องขุ่นพระ ทางลงไปโฮมสเตย์ชันมาก ทำไมไม่มีใครบอกเลย ตายแล้วน้องเทาลูกแม่จะขึ้นไหวไหมเนี่ย หัวหน้าทริปเห็นถ้าจะไม่มีเพราะแลดูน้ำหนักบนรถและแรงรถน่าจะไม่ไหว

ลงรถบัดเดี๋ยวนี้ .. นี่คือประกาศจากหัวหน้าทริป
บนรถให้เหลือแต่คนขับและสัมภาระอันมหาศาลของพวกเราเท่านั้น จากนั้นเพื่อนจุ้ยก็ขับรถลงไปจนถึงอ่าวครามโฮมสเตย์ พอไปถึงเพื่อนจุ้ยก็มาบอกว่า แกต้องเปลี่ยนยางแล้วนะ รถแกแรงไม่มีเลย จ๊ะเพื่อน .. ไม่มีใครบอกตรูเลยว่าตรูต้องลงเขาชันขนาดนี้ โว้!!
อ่าวครามยังขนาดนี้ ไม่ต้องสืบนะว่าแดนโดมโฮมสเตย์จะลึกแค่ไหน ดังนั้นก่อนมาแนะนำว่าเตรียมรถให้พร้อมนะคะ ไม่งั้นจะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนพวกเราเนี่ย
พอจอดรถขนของเข้าที่พักสตั้นเล็กน้อย หืม.. นี่คือที่พักของเราเหรอวะ หัวหน้าทริปบอกใช่ไงแกไม่ได้ดูในลิงค์ที่ส่งให้ไปดูเหรอวะ ไม่อยากบอกเลยว่าตรูมาอย่างเดียวเลยข้อมูลไม่ได้ดูเลย บนบ้านพักเค้าก็แบ่งเป็นห้องพักหลายๆ ห้อง มีพื้นที่สำหรับนั่งทานอาหาร นั่งเล่นอยู่บนบ้านได้สบายมาก ลมเย็นเชียว
อ่าวครามโฮมสเตย์เค้าคิดเหมาหัวคนละ 1,000 บาท ที่พัก 1 คืนอาหาร 3 มื้อ ใครจะไปเที่ยวมีบริการเรือนำเที่ยวลำละ 1,500 บาท เที่ยวเกาะกุลาตกดึกมาก็มีไปตกหมึกด้วยนะ

พอเก็บสัมภาระแบ่งเรื่องห้องนอนกันเรียบร้อยก็พร้อมที่จะออกเดินทางสู่เกาะกุลากันเลย ดังนั้นมาถึงเช้าก็จะได้เปรียบเพราะมีเวลาพักเยอะหน่อย ก่อนออกไปดำน้ำ
ค่าเข้าอุทยานชาวไทย 40 บาาท เด็ก 20 นักท่องเที่ยว 200 เด็ก 100 บาท ตามมาตรฐานอุทยานไทยเลยจ้า กิจกรรมบนเกาะกุลาก็พักผ่อนหย่อนใจ เล่นน้ำ ดำน้ำดูปะการัง
ที่นี่เค้ามีหน่วยอนุรักษ์เต่าด้วยนะ ใครสนใจก็มาเรียนรู้กับพี่ๆ อุทยานได้ เค้าจะคอยช่วยเหลือและอนุบาลเต่าที่มีปัญหา ฟังเค้าเล่าแล้ว โห .. น่าสงสารน้องเต่ามาก
พอพักผ่อนเดินเล่นกันเป็นที่สบายใจแล้ว พี่ๆ เค้าก็ถามว่าพร้อมแล้วกับการดำน้ำบนเกาะกุลาหรือยัง นึกในใจพร้อมตั้งนานแล้วล่ะ ไปกันเลยจ้าเดินข้ามเขาไปอีกฝั่งเพื่อดำน้ำกัน
น่าเสียดายมากที่วันนี้น้ำขุ่นมาก ดำลงไปก็ไม่เห็นอะไรเลย เสียใจอ่ะอุตส่าห์มาตั้งไกล หมดกันพวกเราเลยซ้อมดำน้ำด้วยหน้ากากแบบครอบหน้าที่เป็นของเล่นใหม่ของทุกคน จะว่าไปหน้ากากแบบครอบเต็มหน้านี่อึดอัดเอาเรื่องเหมือนกันนะ ภัทรานิตย์ใช้แล้วไม่ไหวต้องถอดออกเลยล่ะ เพราะเวียนหัวไม่เหมือนหน้ากากดำน้ำธรรมดา
เมื่อภารกิจะไม่สำเร็จพวกเราก็เดินกลับมานั่งเล่นนอนเล่นอีกฝั่งดีกว่า ลมเย็นมากที่นี่ จริงๆ น้ำทะเลใสนะ แต่ถ้ามาตอนมีคลื่นก็จะขุ่นมากไม่เห็นอะไรเลย จากนั้นก็เดินทางกลับโฮมสเตย์ อาบน้ำรอกินข้าวกันดีกว่า

เพื่อนๆ ที่ชอบดำน้ำแนะนำให้ลองมาที่นี่ดู เจ้าหน้าที่อุทยาน ชาวบ้านที่นี่ใจดีมาก พร้อมช่วยเหลือเรานักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวบ้านเค้า ที่นี่เป็นชุมชนเล็กๆ ยังไม่มีความเจริญเข้ามา ดังนั้นที่นี่จะเหมือนเราเที่ยวถามวิถีชุมชนแบบเดิมๆ เลย
หลังจากกลับจากดำน้ำก็มีกับข้าวมาเสริฟ์ให้เลย กำลังหิวจริงๆ กับข้าวจานใหญ่ไม่พอขอเติมได้ถ้าเค้ามีให้เติม คนอื่นไม่รู้เติมเปล่าแต่แก๊งค์เรามีเติมแน่นอน เพราะสายแดกทุกตัวจัดว่าเรียบจริงๆ

พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า บ่งบอกว่าอาหารมื้อเย็นจะมาอีกแล้ว เหมือนเป็นสิ่งที่รอคอย นอนหลับไปแป๊บเดียว ว้า .. เย็นแล้วจ้าได้เวลากินข้าวแล้ว
ช่วงเวลาที่ชื่นชอนของพวกเรามาแล้ว นั่งทานอาหารพร้อมกัน กินไปคุยกันไป รำลึกถึงความหลังกันไป วันเวลามันผ่านไปเร็วดังนั้นอย่าเสียเวลาค้นหาอดีต อะไรทำได้ทำเลย เพราะชีวิตมันไม่แน่ไม่นอน
แม้พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้ว การมาเที่ยวที่นี่ก็ยังไม่จบนะ เพราะยิ่งดึกเท่าไหร่มันเป็นเวลาที่พวกเราพร้อมจะไปบามหมึกกัน ทุกวันชาวบ้านที่นี่จะออกไปบามหมึกล่ะ
ทีนี่เป็นเพียงทีเดียวที่ใช้วิธีการบามหมึกแบบนี้ เนื่องจากไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยใช้ไม้มาปักในทะเลริม 4 เสา ด้านบนเสาพาดไม้ไผ่เอาไว้ จากน้้นผูกเชือกยึดอวนขนาดตาไม่ถี่มากไว้เหนือผิวดิน กลางบามมีพาดไม้ไผ่เป็นคานไว้สำหรับผูกเชือกวางตะเกียง

ในช่วงเย็นชาวบ้านจะนำตะเกียงแก๊สไปผูกเชือกที่คานกลาง ให้ตะเกียงลอยอยู่เหนือน้ำเล็กน้อย แต่แสงสว่างส่องถึงพื้นน้ำ เพื่อให้หมึก กุ้ง ปู ปลา อื่นๆ มาว่ายเล่นไฟ แล้วทิ้งแสงไฟจากตะเกียงแก๊ส รอเวลายกบาม โดยคืนหนึ่งจะทำการยกบามประมาณ 2-5 ครั้ง/คืน ขึ้นอยู่กับสภาพน้ำ ข้างขึ้น ข้างแรม ที่ต้องอาศัยประสบการณ์ของชาวประมงแต่ละคน
เสียดายที่วันนี้มันไม่ใช่วันของเรา ปลาหมึกไม่มีให้บามเลย พี่คนเรือบอกว่า ไม่ใช่ฤดูกาลของมันต้องมาตอนปลายๆ ปี พวกเราไปราวๆ เดือนมิถุนายน อดเห็นแพลงตอนเรืองแสงด้วย เสียใจ ว่ากันว่าที่นี่แพลงตอนเรืองแสงสวยมาก เรืองแสงสีน้ำเงินระยิบระยับเลยล่ะ
วันนี้มีปลาหมึกให้เจอแค่หกตัว ปล่อยลงน้ำไปสามตัว พอกลับมาพี่เค้าแล่ปลาหมึกและเอาน้ำจิ้มให้ทานจิ้มนะ โว้ยยยย … มันอร่อยจริงเลย เริ่มนึกถึงปลาหมึกที่ปล่อยไปสามตัว ช้านทำอะไรลงไป ไม่น่าปล่อยมันไปเลย เพราะมันอร่อยมาก เพิ่งเคยกินปลาหมึกแบบสดๆ ก็ที่นี่แหละ มันสุดเว้ยเฮ้ย!!

เช้าวันใหม่กับเมนูข้าวต้มหมูกับปลาเค็ม ปลาเค็มเป็นสูตรของชาวบ้านที่นี่เค็มกำลังดีทานกับข้าวต้มหอมกรุ่น เค้ามีขายด้วยนะแต่ครั้นจะแบกปลาเค็มไป เรายังไปเที่ยวอีกหลายที่เกรงว่าปลาเค็มจะทำร้ายเรา ตัดใจไม่ซื้อกลับไปดีกว่า ถ้าเป็นตอนนี้นะคงบอกพี่เค้าว่า พี่ค่ะหนูซื้อแล้วพี่ส่ง Kerry มาให้หน่อยได้ไหมคะ
อำลาอ่าวคราวโฺฮมสเตย์กันด้วยภาพนี้ ชอบในวิถีชุมชนคนทะเล ช่างต่างกับวิถีคนเมือง กับข้าวง่ายๆ ก็ทำให้เราได้มีความสุข คุณค่าของชีวิตไม่ได้ติดกับกินของแพงเลยจริงๆ แค่มีความสุขและสนุกกับทุกสิ่งที่ทำ ธรรมชาติคือชีวิตเราต้องดูแลมันเพื่อชีวิตที่ดีของเราเช่นกัน

Share